Indirect speech and Direct speech
ในบางครั้ง เรามีความจำเป็นต้องยกคำพูดของบางคนขึ้นมา หากเป็นการยกมาตรงๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้างใดๆ เราเรียกว่า Direct Speech (ไดเร็กทฺ สปีช) หรือบางคนเรียกว่า Quoted Speech (โควทิด สปีช) แต่หากเป็นการยกโดยมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะโครงสร้าง หรือโดยอ้อม เราเรียกว่า Indirect Speech (อินไดเร็กทฺ สปีช) หรือบางคนเรียกว่า Reported Speech (ริพอทิด สปีช)
ข้อสังเกตของ Direct Speech คือ คำพูดดังกล่าวของบุคคลนั้น จะอยู่ภายในเครื่องหมายคำพูดที่เรียกว่า Quotation marks (โควเทเชิ่น มาคสฺ) อ่านเพิ่มเติม
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559
Passive Voice
Active Voice คือ รูปของกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำโดยตรง
Mary eats a mango. (แมรี่รับประทานมะม่วง)
Passive Voice คือ รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้น โดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
A mango is eaten by Mary. (มะม่วงถูกรับประธานโดยแมรี่)
จะเห็นได้ว่า ใจความประโยค Active Voice และ Passive Voice นั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน ผิดกันก็ตรงที่ประโยค Active Voice นั้น ประธานเป็นผู้ทำกริยา ส่วน Passive Voice นั้นประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยา
กริยาที่จะทำเป็นประโยค Passive Voice ได้จะต้องเป็นกริยาที่เรียกว่า Transitive Verb คือกริยาที่ต้องการกรรมมารับ เช่น to love, to catch, to buy, to eat, to see, etc. ส่วน Intransitive Verb ซึ่งหมายถึงกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารับ เช่น to run, to walk, to go, to fly, to awim, etc นั้นจะทำให้เป็น Passive Voice ไม่ได้
Mary eats a mango. (แมรี่รับประทานมะม่วง)
Passive Voice คือ รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้น โดยผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
A mango is eaten by Mary. (มะม่วงถูกรับประธานโดยแมรี่)
จะเห็นได้ว่า ใจความประโยค Active Voice และ Passive Voice นั้นมีความหมายอย่างเดียวกัน ผิดกันก็ตรงที่ประโยค Active Voice นั้น ประธานเป็นผู้ทำกริยา ส่วน Passive Voice นั้นประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยา
กริยาที่จะทำเป็นประโยค Passive Voice ได้จะต้องเป็นกริยาที่เรียกว่า Transitive Verb คือกริยาที่ต้องการกรรมมารับ เช่น to love, to catch, to buy, to eat, to see, etc. ส่วน Intransitive Verb ซึ่งหมายถึงกริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารับ เช่น to run, to walk, to go, to fly, to awim, etc นั้นจะทำให้เป็น Passive Voice ไม่ได้
หลักทั่วไปในการเปลี่ยนประโยค Active Voice ให้เป็นประโยค Passive Voice
1. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมในประโยค Passive Voice โดยมี preposition "by" นำหน้า
2. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice
3. กริยาของประโยค Active Voice นั้น เมื่อนำมาใช้ในประโยค Passive Voice จะต้องเป็นรูปกริยาช่องที่ 3 (Past Participle) และใช้ตามหลัง verb to be คือ is, am , are, was , were, be, being, been ซึ่งจะใช้ Verb to be ตัวใดนั้นต้องดู tense
อ่านเพิ่มเติม1. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice ไปเป็นกรรมในประโยค Passive Voice โดยมี preposition "by" นำหน้า
2. ให้กลับเอากรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice
3. กริยาของประโยค Active Voice นั้น เมื่อนำมาใช้ในประโยค Passive Voice จะต้องเป็นรูปกริยาช่องที่ 3 (Past Participle) และใช้ตามหลัง verb to be คือ is, am , are, was , were, be, being, been ซึ่งจะใช้ Verb to be ตัวใดนั้นต้องดู tense
Phrasal verbs
5. ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วาง adverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้
5.1 ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น
-Off went john! = John went off.
5.2 ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น
-Away they went ! = They went away. อ่านเพิ่มเติม
คือ การใช้คำกริยาที่ปกติแล้วมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ส่วนประกอบ เมื่อ verb+ preposition or particle มารวมกันเป็น Phrasal verbs แล้ว อาจจะทำให้เกิดความหมายใหม่ขึ้นมาซึ่งอาจจะไม่มีเค้าความหมายของคำกริยาเดิมเลย นิยมใช้กันมากในภาษาอังกฤษ
หลักสำคัญในการใช้ Phrasal Verbs หรือ Two-Word Verbs
1.เมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น
- please come in.
- Don't give up, whatever happens.
2. เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น
- I can't make it out. (right)
- I can't make out it.(wrong)
3. เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้ (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น
- Turn on the light. หรือ - Turn the light on.
4. ตามข้อ 3 ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clause ขยายต้องวางobject ไว้หลัง adverb เช่น
- He gave away every book that he possesed. (right)
- He gave every book that he possesed away. (wrong)
1.เมื่อไม่มี direct object ต้องวาง adverb ไว้ติดกับ verb เช่น
- please come in.
- Don't give up, whatever happens.
2. เมื่อมี object pronoun เช่น him, her, it, them, me, us, เป็น direct object ต้องวาง object เหล่านี้ไว้หน้า adverb เช่น
- I can't make it out. (right)
- I can't make out it.(wrong)
3. เมื่อมี noun เช่น book , pen , houses , etc.เป็น direct object จะวาง noun ไว้หน้าหรือหลัง adverb ก็ได้ (verb +adverb +noun) หรือ (verb +noun +adverb) เช่น
- Turn on the light. หรือ - Turn the light on.
4. ตามข้อ 3 ถ้า object เป็นคำยาว เช่นมี object clause ขยายต้องวางobject ไว้หลัง adverb เช่น
- He gave away every book that he possesed. (right)
- He gave every book that he possesed away. (wrong)
5. ในประโยคอุทาน (exclamatory Sentences)ให้วาง adverb ไว้หน้าประโยคยืดหลักดังนี้
5.1 ถ้าประธานเป็น noun เอากริยาตามมาได้เลย เช่น
-Off went john! = John went off.
5.2 ถ้าประธานเป็น pronoun ใหัใช้แต่ adverb ไม่ต้องใช้ verb เช่น
-Away they went ! = They went away. อ่านเพิ่มเติม
Tense
Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ
1. Present tense ปัจจุบัน
2. Past tense อดีตกาล
3. Future tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1 . Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย). อ่านเพิ่มเติม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)